วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

จังหวัดพิบูลสงคราม




จังหวัดพิบูลสงคราม เป็น 1 ใน 4 จังหวัดที่ประเทศไทยได้ดินแดนคืนจากฝรั่งเศสในช่วง พ.ศ. 2484 โดยยกท้องที่การปกครองเมืองเสียมราฐขึ้นเป็นจังหวัด ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยต้องส่งดินแดนจังหวัดพิบูลสงครามคืนให้แก่ฝรั่งเศส ซึ่งปกครองประเทศกัมพูชาอยู่ในขณะนั้น ปัจจุบัน คือ จังหวัดเสียมเรียบ จังหวัดอุดรมีชัย และจังหวัดบันเตียเมียนเจย ในประเทศกัมพูชา พื้นที่ของจังหวัดนี้เดิมอยู่ในมณฑลบูรพาในสมัยรัชกาลที่ 5 และตกอยู่ภายใต้ความปกครองของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2450
ชื่อจังหวัดพิบูลสงครามนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่
จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น ทั้งนี้ ยังปรากฏว่ามีการสร้างอนุสาวรีย์ไก่ขาวกางปีกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของจอมพลแปลกไว้เป็นอนุสรณ์ของจังหวัดนี้ เมื่อมีการกำหนดให้มีตราประจำจังหวัดทั่วประเทศ กรมศิลปากรก็ได้นำอนุสาวรีย์ดังกล่าวมาผูกเป็นรูปตราประจำจังหวัดไว้ด้วย
[
แก้] การจัดการปกครอง

แผนที่ดินแดนจังหวัดพิบูลสงคราม (แสดงด้วยพื้นที่สีน้ำเงิน)
เมื่อแรกตั้งจังหวัดนั้น ได้แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ ตามประกาศเรื่องตั้งอำเภอ ลงวันที่ 23 กรกฎาคม พุทธศักราช 2484 ดังนี้
อำเภอไพรีระย่อเดช (ตามเขตอำเภอบ้านพวกเดิม)
อำเภอกลันทบุรี (ตามเขตอำเภอกลันทบุรีเดิม)
อำเภอพรหมขันธ์ (ตามเขตอำเภอพรหมขันธ์เดิม)
อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต (ตามเขตอำเภอสำโรงเดิม)
อำเภอวารีแสน (ตามเขตอำเภอวารีแสนเดิม)
อำเภอจอมกระสานติ์ (ตามเขตอำเภอจอมกระสานติ์เดิม)
ต่อมาทางการได้ปรับปรุงเขตการปกครองจังหวัดพิบูลสงครามใหม่ โดยโอนท้องที่อำเภอจอมกระสานต์ไปขึ้น
จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และโอนท้องที่อำเภอศรีโสภณ และอำเภอสินธุสงครามชัย จังหวัดพระตะบอง มาขึ้นจังหวัดพิบูลสงครามแทนในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน
จังหวัดพิบูลสงครามจึงมีเขตการปกครองจนถึง
พ.ศ. 2489 รวมทั้งสิ้น 7 อำเภอ คือ อำเภอไพรีระย่อเดช อำเภอกลันทบุรี อำเภอพรหมขันธ์ อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต อำเภอวารีแสน อำเภอศรีโสภณ และอำเภอสินธุสงครามชัยเกร็ดความรู้
ชื่ออำเภอต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นในทั้ง 4 จังหวัด ที่ได้คืนมาจากฝรั่งเศสนั้น ส่วนหนึ่งตั้งชื่อตามบุคคลที่มีบทบาทอย่างสูงในการรบสงครามอินโดจีน เฉพาะจังหวัดพิบูลสงคราม มีชื่ออำเภอลักษณะดังกล่าวดังต่อไปนี้
อำเภอเกรียงศักดิ์พิชิต ตั้งชื่อตาม พันเอกหลวงเกรียงศักดิ์พิชิต (
พิชิต เกรียงศักดิ์พิชิต ยศสุดท้ายเป็นที่พลโท) ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 1 ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก แม่ทัพด้านอีสาน และผู้ช่วยแม่ทัพบกในขณะนั้น (ดูประวัติหลวงเกรียงศักดิ์พิชิตได้ที่นี่)
อำเภอไพรีระย่อเดช ตั้งชื่อตาม พันเอกหลวงไพรีระย่อเดช (
ชมะบูรณ์ ไพรีระย่อเดช ยศสุดท้ายเป็นที่พลโท) ผู้บัญชาการกองพลบูรพา และรองแม่ทัพด้านบูรพา (คนที่ 2) ในขณะนั้น
อำเภอสินธุสงครามชัย (โอนมาจากจังหวัดพระตะบอง) ตั้งชื่อตาม พลเรือตรีหลวงสินธุสงครามชัย (
สินธุ์ กมลนาวิน ยศสุดท้ายเป็นที่พลเรือเอก) ผู้บัญชาการทหารเรือ และแม่ทัพเรือในขณะนั้น
ที่มา http://th.wikipedia.com

เจ้าหญิงอัตสึ(เทนโชอิน)


เทนโชอิน (天璋院, Tenshōin) (5 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 183520 พฤศจิกายน ค.ศ. 1883) หรือที่รู้จักกันในนามว่า "อัตสึโกะ"(篤子) เป็นภริยาของโชกุนโทะกุงะวะ อิเอซะดะ (徳川 家定) โชกุนลำดับที่ 13 ของรัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะแห่งญี่ปุ่น
เทนโชอินเกิดที่เมืองคะโงะชิมะ แคว้นซัตสึมะ เมื่อ ค.ศ. 1835 (พ.ศ. 2378) โดยเป็นธิดาของชิมะสึ ทะดาทะเกะ (島津忠剛) ผู้นำตระกูลอิไมสุมิชิมะสึ (今和泉島津, Imaizumi Shimazu) ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลชิมะสึ เมื่อแรกเกิดนั้น บิดามารดาได้ตั้งชื่อให้เธอว่า "คัตสึ" (一)
ในปี ค.ศ. 1853 (พ.ศ. 2396) ขณะมีอายุได้ 18 ปี ชิมะสึ นะริอะกิระ ไดเมียวแคว้นซัตสึมะได้รับเธอเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมทั้งได้ตั้งชื่อเธอใหม่ว่า "อัตสึโกะ" (篤子) หลังจากนั้นในวันที่ 21 สิงหาคม ปีเดียวกัน ชึมะสึ นะริอะกิระได้ส่งตัวเธอไปยังปราสาทเอโดะ โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะให้เธอเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นซัตสึมะกับรัฐบาลโชกุนผ่านทางการแต่งงานกับโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ เมื่อเธอมาถึงปราสาทเอโดะแล้ว เธอได้เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าชายโคะโนะเอะ ทะดะฮิโระ (ต่อมาท่านผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งคัมปะกุในระหว่าง ค.ศ. 1862 - 1863) และได้รับชื่อใหม่ว่า "ฟุจิวะระ โนะ สุมิโกะ" (藤原 敬子)
ฟุจิวะระ โนะ สุมิโกะได้แต่งงานกับโชกุนโทะกุงะวะ อิเอซะดะ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1856 (พ.ศ. 2399) และมีฐานะเป็นภริยาของโชกุนจนกระทั่งในปี ค.ศ. 1858 (พ.ศ. 2401) โชกุนโทะกุงะวะ อิเอซะดะได้เสียชีวิตโดยที่มิได้มีบุตรด้วยกัน และผู้เป็นพ่อบุญธรรรมของเธอ ชึมะสึ นะริอะกิระ ก็ได้เสียชีวิตลงในปีเดียวกัน เธอจึงปลงผมบวชเป็นแม่ชีในพุทธศาสนา ได้รับฉายานามว่า "เทนโชอิน"
ในปี ค.ศ. 1862 (พ.ศ. 2405) โชกุนโทะกุงะวะ อิเอโมชิ ซึ่งเป็นโชกุนลำดับที่ 14 ของตระกูลโทะกุงะวะได้เสกสมรสกับเจ้าหญิงคาซึ โนะ มิยะ ชิกะโกะ (和宮親子, Kazu-no-Miya Chikako) พระธิดาในสมเด็จพระจักรพรรดินินโกะ และพระขนิษฐภคินีในสมเด็จพระจักรพรรดิโคเมอิ ตามนโยบายเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างบาคุฟุ (รัฐบาลโชกุน) กับราชสำนัก (公武合体, Kōbu Gattai) ทางแคว้นซัตสึมะจึงได้ร้องขอให้เทนโชอินเดินทางกลับมาแคว้นซัตสึมะ แต่เธอกลับปฏิเสธ ต่อมาในปี ค.ศ. 1866 (พ.ศ. 2409) โชกุนโทะกุงะวะ อิเอโมชิสิ้นชีวิต โทะกุงะวะ โยะชิโนะบุได้ขึ้นเป็นโชกุนลำดับที่ 15 และเป็นโชกุนคนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น หลังจากนั้นไม่นานญี่ปุ่นก็เข้าสู่ยุคการปฏิรูปเมจิ เทนโชอินได้ร่วมมือกับท่านเซย์กานิน (静寛院, Seikanin, เป็นฉายาของเจ้าหญิงคาซึ โนะ มิยะ ชิกะโกะ หลังบวชเป็นแม่ชีแล้ว) ช่วยเหลือในการเจรจาให้รัฐบาลบาคุฟุยอมจำนนต่อรัฐบาลของสมเด็จพระจักรพรรดิโดยสันติ
เทนโชอินได้ใช้เวลาที่เหลือช่วงในบั้นปลายดูแลโทะกุงะวะ อิเอซะโตะ ผู้นำตระกูลโทะกุงะวะลำดับที่ 16 จนกระทั่งเสียชีวิตที่เมืองเอโดะในปี ค.ศ. 1883 (พ.ศ. 2426) ขณะมีอายุได้ 48 ปี ร่างของเธอได้นำไปฝังไว้ที่วัดคันเอย์จิ ย่านอุเอโนะ เขตการปกครองพิเศษไทโต กรุงโตเกียว เคียงข้างกับร่างของโชกุนโทะกุงะวะ อิเอซะดะผู้เป็นสามี
เรื่องราวของเธอได้มีการนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์อิงประวัติศาสตร์เรื่อง "เจ้าหญิงอัตสึ" (篤姫, Atsuhime) โดยบรรษัทการกระจายเสียงและแพร่ภาพแห่งญี่ปุ่น (NHK) ในปี พ.ศ. 2551 โดยอาศัยเค้าโครงจากนิยายอิงชีวประวัติของเธอชื่อ "เทโชอินอัตสึฮิเมะ" (天璋院篤姫, Tenshō-in Atsuhime) ซึ่งประพันธ์โดย โทมิโกะ มิยาโอะ (Tomiko Miyao) เมื่อปี ค.ศ. 1984